วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องย่อคนนอก อัลแบร์ กามู
นวนิยายของนักเขียนรางวัลโนเบิล 2500
อำพรรณ โอตระกูล ; แปล

คนนอกเป็นเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และมีความสุขในชีวิตอย่างธรรมดา ไม่สุขล้นเหลือ ไม่ทุกข์มากมาย ทำงานตามหน้าที่ๆควรจะเป็น หญิงที่เป็นคนรักถามกับเขาว่ารักเธอรึเปล่า เขาไม่ตอบว่ารักหากแต่เขาบอกว่าเขาพร้อมจะแต่งงานกับเธอหากเธอต้องการ “คุณเมอโซ” ใช่เขาชื่อเมอโซ วันหนึ่งเขาต้องไปเฝ้าศพคุณแม่ในคืนนั้นเขา สูบบุหรี่ นอนหลับ และดื่มกาแฟใส่นม
เมอโซมีเพื่อนบ้านสองคน คนหนึ่งเป็นชายแก่ เลี้ยงหมาที่หัวเน่าเป็นหมาขี้เรื้อน แกทุบตีทำร้ายมันทุกวัน สาดคำด่าใส่มันแต่แกก็รักมัน อีกคนเป็นเพื่อนบ้าน เรมอนด์เขามีเมียเป็นคนอาหรับมีเรื่องทะเลาะกันและสุดท้ายเดือดร้อนถึงเมอโซ เรื่องราวช่วงแรกเรียบง่ายอบอุ่นเป็นสุขดี จนเกิดเรื่องไม่คาดขึ้น เมอโซยิงคนตาย ในเนื้อเรื่องผมไม่แน่ใจและเกิดคำถามหนึ่ง
เมอโซยิงนัดแรกเพื่อป้องกันตัว แล้วนัดสองถึงห้าละ อะไร? ทำให้เขาตัดสินใจยิงซ้ำไปที่ศพแต่คำถามนี้ก็หายเงียบไปในห้วงความคิด เมอโซโดนสอบสวนคดีความเรื่องไม่น่าจะมีอะไรเพราะหลักฐานมีพร้อมอยู่แล้ว เมอโซก็ไม่ได้หนีหายไปไหนแต่อย่างไร
น่าประหลาดที่ผลการสอบสวนกับไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น วันที่เขาไปเฝ้าศพของแม่คืนนั้นล่ะ. อัยการกำลังผูกเรื่องให้ศาลและลูกขุนเห็นว่าก่อนนหน้านั้นเมอโซมีพฤติกรรมแสดงออกอย่างไรในงานศพของแม่ตัวเอง

เขาได้ตอบคำถามที่ท่านประธาน(ศาล)ถาม เขาบอกว่าฉันไม่อยากดูศพแม่ ฉันได้สูบบุหรี่ ฉันได้นอนหลับ และดื่มกาแฟใส่นม ฉันมีความรู้สึกว่าอะไรบางอย่างได้ทำให้คนทั้งห้องฮือขึ้น และเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าตนเป็นคนผิด

เขาที่ว่าคือคนที่ดูแลห้องเฝ้าศพในคืนนั้น ประเพณีการเฝ้าศพของฝรั่งเศษผมไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นยังไง แต่อ่านเอาจากเนื้อเรื่องก็พอเดาได้ว่าการกระทำของเมอโซนั้น เป็นเรื่องที่คนปกติไม่ทำกัน มันอาจไม่ได้ระบุไว้ในกฏหมายหากแต่เป็นเรื่องที่สังคมถือเอาเป็นสิ่งควรกระทำ ใครที่ไม่มีองค์ประกอบข้างต้นจึงน่าจะถือได้ว่าไม่เข้าพวก หรือเรียกว่า”คนนอก”นั้นเอง
ขณะเดียวกันนั้นผมมีความรู้สึกเข้าใจเมอโซ มันเป็นเรื่องที่บอกยากมีหลายอย่างที่คล้ายกันแต่เหตุผลเป็นสิ่งที่แต่ละคนให้ แน่ละผมรักพ่อรักแม่แต่ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าพ่อแม่ผมอายุเท่าไรอย่างดีคือวันเกิดได้เพื่อโทรหากันและสุขสันวันเกิดแบบมีความสุขเล็กๆ เหมือนที่ผมรักเพื่อนแต่ผมก็จำวันเกิดพวกเขาไม่ได้สักคน
งานศพพี่ชายผมไม่ได้ร้องไห้ต่อหน้าศพแม้แต่วันเดียว นับแต่วินาทีที่ผมไปรับศพที่โรงพยาบาล พาศพเดินทางจากกรุงเทพกลับบ้าน ผมนอนหลับด้วยความเหนื่อยล้า ผมมาถึงบ้านพร้อมศพ และเห็นคนเศร้าเสียใจร้องไห้เมื่อเห็นศพพี่ชายผม ทว่าผมไม่เศร้าไม่เสียใจงั้นเหรอ เศร้าสิ เสียใจฉิบหาย แต่ผมเห็นคนร้องไห้เยอะเกินไป ทำให้ร้องไห้ไม่ลง ไง. เลวมั้ยละ
วันก่อนวันเผาพี่ชายผมชวนน้องชายไปซื้อของขวัญให้หลานสาว จุดเทียนให้เค็กและร้องเพลงวันเกิดให้หลานสาวต่อหน้าโลงศพพี่ชาย เปลวเทียนหน้าศพส่องประกาย รูปหน้าศพเป็นรูปพี่ชายกำลังยิ้ม หลานสาวผมแต่งชุดที่พี่ชายผมซื้อให้ก่อนหน้านั้น พี่ชายผมบอกให้เธอใส่ในวันเกิด แล้วพวกเรากินเค็กด้วยกัน เป็นวันแรกที่แม่ผมเริ่มกินอาหารได้เพราะไม่ยอมกินอะไรมาหลายวัน แน่ละคนที่ผมรักและผมห่วงที่สุดขณะนั้นไม่ใช่ “ศพ” ของพี่ชาย หากแต่เป็นอีกสองสามชีวิตที่จมอยู่ในความเศร้า
คนอื่นเดินผ่านไปมาคงรู้สึกแปลกๆที่พวกเราเป่าเทียนวันเกิดในงานศพ แต่ก็นั่นละครับ หากคุณมองในมุมของ “คนนอก” มีสาเหตุและเงื่อนไขมากมายเหลือเกินที่ทำให้คนเรามีการแสดงออกแบบนั้นแบบนี้ ในหลายๆครั้งที่เราเองมักเอาไม้บรรทัดของตัวเองไปวัด “ความเป็น” ของคนอื่นและลำดับประเภทแยกแยะเพื่อสร้างบางสิ่งบางอย่างที่ผมไม่อยากเอ่ยถึง ให้กับตัวเอง ขณะนั้นผมคล้ายได้ยินเสียงอัยการในคดีของเมอโซกล่าวผ่านสายลมว่า

“ท่านคณะลูกขุน ในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันฝังศพมารดาเขา ผู้ชายคนนี้ได้ไปว่ายน้ำ เริ่มมีความสัมพันไม่สม่ำเสมอกับผู้หญิงคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีแก่ใจไปหาความสนุกสนานโดยการดูหนังตลก ข้าพเจ้าไม่มีอะไรกว่านี้จะบอกท่านแล้ว”

ฉากการว่าความในคดีของเมอโซนับเป็นห้วงขณะที่ก่ออารมณ์ความรู้สึกบางอย่างให้คนอ่าน อย่างน้อยก็ผมละ ที่นึกถึงคำว่า”คนนอก”ในอีกอย่าง แม้แต่ทนายประจำตัว(ที่เมอโซไม่ได้ร้องขอ) ยังบอกให้เมอโซอยู่เฉยๆในขณะเขาว่าความ แน่ละนี่มันสนามของคุณนี่ เกมของคุณ ผมมันคนนอก ผมแค่ยืนดูพวกคุณเล่นเกมน้ำลาย และเอ่ยถึงคำว่าศิลธรรมกันจนน่าสะเอียน จบเกมคุณลากคอผมขึ้นเครื่องประหารกิโยตินโดยที่ผมไม่ได้แม้จะบอกกล่าวความคิดของตัวเอง บ้าชิบ!!
ขณะนั้นเองผมคิดถึง”ไอ้ฟัก”ในเรื่อง “คำพิพากษา” ของเฮียชาติ กอบ- เรื่องราวมันคล้ายๆกันตรงที่ไอ้ฟักโดนสังคมพิพากษา (ภายหลังผมไปอ่านคำนำผู้แปลของ”ความตายอันแสนสุข”จึงพบว่าผมไม่ได้รู้สึกคนเดียว ฮ่าๆ) แต่นั่นก็เรื่องของไอ้ฟักปล่อยแกไปก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องของเมอโซ ชายผู้ไม่มีความหวังในพระเจ้า ฉากสุดท้ายคือการประทะความคิดระหว่างนักบวชที่เรียกตัวเองว่า “พ่อ” เมอโซปิดฉากความคิดนั้น

เขาพยายามจะเปลี่ยนเรื่องพูด โดยการถามฉันว่า ทำไมฉันจึงเรียกเขาอยู่ตลอดเวลาว่า “คุณ” ไม่เคยเรียกเขาว่า “พ่อ” เลย สิ่งนี้ทำให้ฉันโกรธงุ่นง่าน ฉันเลยตอบเขาว่า ก็เพราะเขาไม่ใช่พ่อเขาน่ะสิ เขาเป็นพ่อของคนอื่น

ท้ายสุดของเรื่องราวคือห้วงสุดท้ายที่เมอโซได้แสดงให้เห็นถึงความสงบและแสดงออกถึงจุดยืนของความคิดตัวเอง ความสุขของเขาเอง มีข้อความหนึ่งผมเคยอ่านเจอในหนังสือ ‘way’ ชอบเลยจดเก็บเอาไว้

” คนที่ไม่ปราถนาความสุข คือคนที่มองไม่เห็นว่าตัวเองดำรงอยู่บนโครงสร้างแบบไหน เมื่อไม่เห็นโครงสร้างนั้นเสียแล้ว ก็ย่อมมองไม่ออกว่าตำแหน่งแห่งหนที่ตนกำเนิดและดำรงอยู่นั้นกำลังกดทับบนบ่าของคนอื่นๆอย่างไรบ้าง”
-โตมร ศุขปรีชา-

ผมจบบันทึกเกี่ยวกับเรื่องคนนอกในขณะที่ฟ้ามืดพอดี ออกไปยืนรับลมอ่อนๆริมระเบียง ปล่อยห้วงความคิดให้ล่องลอยไป และมลายหายไปในอากาศร้อนบัดซบ..
บทวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องโจนาธาน ลิฟวิ่งสโตน นางนวล

บทวิเคราะห์ โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เขียนคำนำว่า "...เมื่ออ่านแล้วเกิดความจับใจในธรรมะที่ได้แสดงไว้ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมีทั้งมนุษยธรรมและธรรมอันเป็นความจริงแห่งชีวิตซึ่งตรงตามที่พระพุทธเจ้าผู้ซึ่งเป็นพระบรมศาสดา และสรณะของผมได้ทรงแสดงไว้เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วมากมายหลายอย่าง..."
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เขียนต่อว่า "...คนที่ผมอยากให้อ่านหนังสือเล่มนี้คือคนไทยทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสิตนักศึกษาและนักเรียน เพราะจะได้กำลังใจในอันที่จะเล่าเรียนและทำประโยชน์ต่อไปได้มาก สำหรับคนที่เคยได้เล่าเรียนวิชาจากผมโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นวิชาใด ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใด และไม่ว่าจะมากหรือน้อย ผมขอถือโอกาสนี้ส่งข่าวมาให้ทราบว่า...
"ผมอยากให้คุณอ่านหนังสือเล่มนี้ทุกคน จะอ่านจากภาษาอังกฤษหรืออ่านจากคำแปลนี้ก็ได้ แต่ขอให้อ่านให้ได้ และในการอ่านนั้น ขอให้โปรดใช้ความคิดให้มากประกอบไปด้วย อย่าอ่านเพียงสักแต่ว่าผ่านสายตาไป นกนางนวลมันรักศิษย์ของมันฉันใด ผมก็รักพวกคุณทุกคนฉันนั้น"

".....สิ่งที่ทำให้ นางนวล โด่งดังขึ้นมาคงจะเป็นความง่ายของหนังสือเป็นประการแรก หนังสือเล่มนี้ง่ายในความหมายที่ว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่อ่านได้สบายๆ ในขณะเดียวกันก็แฝงปรัชญาความคิดเอาไว้ด้วย ลักษณะของหนังสือเป็นเรื่องผสมผสานกันระหว่างความเก่าและความใหม่ ความใหม่ที่แทรกเข้ามาก็คือ ความทันสมัยและวิทยาศาสตร์ในรูปของ Science Fiction คือ เรื่องของการบินเร็วและสามารถจะ บินได้เร็วเท่าความคิด นอกเหนือไปจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ประทับใจคนอ่านก็คือ อิสระเสรีภาพ คนอ่านไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามมีอิสระที่จะตีความหนังสือเล่มนี้ได้ตามใจชอบดังนั้นจึงไม่น่าสงสัยอะไรเลย ที่มีคนตีความว่าปรัชญาของนางนวล เป็นฮินดูบ้างเป็นพุทธศาสนาบ้าง เป็นคริสตศาสนานิกาย Christian Science บ้าง หรือแม้กระทั่งว่าเป็นปรัชญาเก๊ๆ ก็มี ..."
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เขียนไว้ใน"คำตาม"
หนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงโจนาธาน นกนางนวลที่ชอบ"แหกคอก" ด้วยการ"ฝึกบิน"
เพราะสำหรับนกนางนวลนั้น พวกมันบินเพื่อหาอาหาร
"ทำไมนะ จอน ทำไม" แม่ถามขึ้น "ทำไม่มันยากนักรึที่จะทำตัวให้เหมือนนกอื่นๆ ในฝูง หือ จอน ทำไมแกไม่ปล่อยให้การบินระดับต่ำเป็นเรื่องของนกเพลิแกน หรือนกอัลบาทรอส แล้วทำไมแกไม่กินซะบ้าง จอน แกน่ะเหลือแต่กระดูกและขน!"
"แม่ ฉันไม่กลัวที่จะเหลือแต่กระดูกและขนฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเมื่อฉันอยู่ในอากาศ ฉันจะทำอะไรได้หรือทำไม่ได้ ฉันเพียงแต่อยากรู้เท่านั้นเอง"
"นี่นะโจนาธาน" พ่อพูดขึ้นอย่างไม่ไร้ความปรานี "หน้าหนาวก็ไม่ไกลนัก แล้วเรือหาปลาเหลือไม่กี่ลำ และปลาผิวน้ำก็จะว่ายลงสู่น้ำลึก ถ้าแกจะต้องเรียนรู้ แกก็ต้องเรียนรู้เรื่องอาหาร และก็หาอาหารกินให้ได้ เรื่องการบินนี่นะดีอยู่หรอก แต่แกก็น่าจะรู้ว่าการบินการร่อนกินเข้าไปไม่ได้ อย่าลืมว่าเหตุที่แกบินก็เพื่อเอาไว้หากิน"
โจนาธานพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
อย่างไรก็ตาม เมื่อ"ลับหลังพ่อและแม่...โจนาธานก็แหกคอก หลังจาก(พยายาม)ทำตัวเหมือนนกนางนวลตัวอื่นๆ นั่นคือส่งเสียงร้อง สู้ ร่อนลงแย่งเศษปลาและขนมปังกับฝูงนกที่ท่าน้ำและเรือตกปลา
โจนาธานคิดว่าการทำเช่นนั้น ไม่มีจุดหมาย บ่อยครั้งที่มันยอมทิ้งปลาแห้ง(ซึ่งหามาได้อย่างยากเย็น)ให้กับนกนางนวลแก่ๆที่หิวโหย
โจนาธานคิดว่ามันควรจะใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกบิน เพราะมีอะไรมากมายที่จะต้องเรียนรู้
ไม่นานต่อมา โจนาธาน สามารถบินได้เร็วถึง 90 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งนั่นเป็นการทำลายสถิติความเร็วในหมู่นกนางนวล!!!
สิ่งที่โจนาธาน"เรียนรู้"หลังฝึกบินก็คือ นกนางนวลไม่บินยามค่ำและบินเร็ว เพราะหากเป็นเช่นนั้น ธรรมชาติก็จะต้องให้มีตาเหมือนนกฮูก และมีปีกสั้นเหมือนนกเหยี่ยว
แต่เมื่อต้องการเรียนรู้...โจนาธาน จึงทดลองทำ...ทุกอย่าง
จึงไม่น่าเชื่อว่า โจนาธานสามารถบินได้เร็วถึง 210 ไมล์ต่อชั่วโมง และขยับเป็น 214 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาต่อมา!!!
สุดท้าย โจนาธานถูกขับออกจากฝูง...เพราะถือว่าเป็นการสร้าง"ความอับอาย"ในการเป็นนกนางนวล
"…สักวันหนึ่ง โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล แกจะรู้ว่าการไร้ความรับผิดชอบไม่มีประโยชน์อะไร ชีวิตเป็นเรื่องลี้ลับ และจะเรียนรู้ไม่ได้ เรามาอยู่ในโลกนี้เพียงเพื่อกิน และพยายามมีชีวิตอยู่ให้ยืนยาวเท่าที่เราจะทำได้" นางนวลผู้เป็นใหญ่พูด
ต่อมา...โจนาธาน พบกับนางนวลฝูงใหม่
ซึ่งที่นี่ โจนาธาน พบกับ"เจียง" นางนวลเฒ่า ที่บอกโจนาธานด้วยความเมตตา "ว่าไงลูก..เธอกำลังเรียนรู้อีกแล้วนางนวลโจนาธาน"
รวมทั้งได้พบ นางนวลซัลลิแวน นางนวลเฟลทเชอร์ ลินด์ นางนวลเมย์นาร์ด นางนวลโลเวล นางนวลชาลส์-โรแลนด์
ทั้งหมดคือ"เพื่อน"...ในการเรียนรู้ของโจนาธาน
"กฎที่แท้จริงอันเดียวคือ กฎที่นำไปสู่อิสระเสรีภาพ" บทสรุปของโจนาธาน
และผมถือว่าเป็นบทสรุปที่"สุดยอด" ...สำหรับการอ่านหนังสือเล่มนี้
เรื่องย่อมนุษย์สองหน้า อัลแบร์ กามู
และบทวิเคราะห์วิจารณ์ เรื่องย่อมนุษย์สองหน้า

“เรื่องราวของคนผู้ฉ้อฉลความเป็นมนุษย์” คือคำจำกัดความของ “มนุษย์สองหน้า” นวนิยายขนาดสั้นกระชากหน้ากากคนจอมปลอมในสังคม ทั้ง ๑๒๘ หน้ากระดาษอัดแน่นด้วยเนื้อหาการนำเสนอมุมมองแปลกใหม่ต่อความเป็นมนุษย์ โดย “อัลแบร์ กามู” (Albert Camus) นักเขียนนักคิดชาวฝรั่งเศสผู้ได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ อันเป็นยุคแห่งการฉ้อฉลทั้งภายในฝรั่งเศส และกลายเป็นโรคระบาดไปทั่วโลก ถ่ายทอดออกเป็นภาษาไทยครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๕๑๖ โดยจันทร์แจ่ม บุนนาค จนกระทั่งใน พ.ศ. ๒๕๔๓ “ตุลจันทร์” เป็นผู้ขัดเกลาปรับปรุงใหม่ และพิมพ์สำเร็จออกมาเป็นรูปเล่มอีกเป็นครั้งที่ ๗
ในวงการหนังสือเรื่องสั้นหรือนวนิยาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขียนโดยนักเขียนไทย หรือเป็นหนังสือแปล ก็ยากนักที่จะขึ้นปกด้วยใบหน้าของผู้เขียนเอง และ อัลแบร์ กามู ก็เป็นหนึ่งในจำนวนอันน้อยนิดนั้น ซึ่งได้รับเกียรติตีพิมพ์ใบหน้าของเขาลงบนปกหนังสือของเขาเอง ทั้งนี้ก็เท่ากับเป็นการรับประกันถึงหน้าต่อๆ ไปที่จะพลิกไปอ่านว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
อัลแบร์ กามู เป็นทั้งนักคิดและนักเขียน ที่เคยเข้าร่วมขบวนการใต้ดินเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านลัทธินาซีและฟาสซิสต์ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องออกมาจากขบวนการนั้น เผชิญกับความโดดเดี่ยว ผิดหวัง และดิ่งลงต่ำสุดของชีวิต อันเป็นแรงบันดาลใจให้จรดปากการ่าง “มนุษย์สองหน้า” นี้ขึ้นมา
กามู เป็นผู้มองสังคมในมุมที่แตกต่าง มองจากหลายมุมจนเห็นมุมที่ขัดแย้ง และนำเอามาถ่ายทอดลงเป็นตัวหนังสือ เกิดเป็นรูปเล่มมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง “คนนอก” (Étranger) ซึ่งเป็นหนังสือที่ทำให้กามูได้รับรางวัลโนเบลอันทรงเกียรตินั้นเอง
นวนิยายของกามูแต่ละเล่มจะมีความพิเศษแตกต่างกันไป แต่ก็ยังยืนยันการนำเสนอมุมมองที่แตกต่าง สำหรับ “มนุษย์สองหน้า” นี้ นอกจากจะเด่นเรื่องการนำเสนอส่วนลึกของจิตสำนึกของมนุษย์แต่ละคนแล้ว กลวิธีการดำเนินเรื่องก็นับว่าแปลกมาก คือใช้ตัวละครเพียงตัวเดียวเป็นผู้เล่าเรื่อง และบรรยายๆ เหตุการณ์ต่างๆ จากบทสนทนา แม้ในเรื่องมีตัวละครมากกว่าหนึ่ง แต่ว่าเป็นบทสนทนาของตัวละครเอกตัวเดียวทั้งเรื่อง โดยไม่มีบทสนทนาของตัวละครอื่น หรือบทบรรยายของผู้เขียนแทรกอยู่เลย ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะนำเสนอเรื่องราวที่ดำเนินไป ในลักษณะเช่นนี้ อันเป็นความสามารถอันโดดเด่นของกามูโดยแท้
“มนุษย์สองหน้า” นี้บอกเล่าเรื่องราวผ่าน ฌ็อง-บัปติสต์ กลาม็องซ์ อดีตทนายความ ผู้อ้างตนว่าเป็นผู้พิพากษา-ผู้สำนึกผิด อันเป็นตัวแทนจิตสำนึกของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปในสังคมโลก ซึ่งมักจะชอบพิพากษาคนอื่นๆ ไปพร้อมๆ กับแสดงความสำนึกผิดไปพร้อมๆ กัน แต่เนื้อแท้มิได้สำนึกผิดในสิ่งที่คิดว่าเป็นความผิดเท่านั้น หากแต่หาข้อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเท่านั้น
ตัวละครเอกบอกเล่าเรื่องราวของตนตั้งแต่เป็นทนายความจนกระทั่งการกลายเป็นผู้พิพากษา-ผู้สำนึกนี้ พร้อมกับแทรกแนวคิดในเรื่องกฎเกณฑ์ของความเป็นมนุษย์ซึ่งไม่เกี่ยวกับพระเจ้าใดๆ โดยเชื่อว่าสิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตคือความสามารถที่มนุษย์เป็นผู้กำหนดขึ้นเอง และเลือกเอง โดยกลาม็องซ์พลิกตัวเองจากการเป็นทนายซึ่งมีหน้ามีตาในสังคมฝรั่งเศส กลายเป็นผู้พิพากษา-ผู้สำนึกผิด จากเหตุการณ์สำคัญซึ่งดูเหมือนจะไร้เหตุผลสำหรับคนทั่วไปอย่างเราๆ แล้วเขาก็ปฎิบัติหน้าที่ผู้พิพากษา-ผู้สำนึกผิด โดยการบอกเล่าเรื่องราว และสารภาพความเป็นตัวตนของเขาให้กับผู้คนเพื่อเป็นการสำนึกผิด และพิพากษาตัวของเขาเอง โดยอาจคาดหวังคำพิพากษาจากคนที่รับฟังว่า เขาก็ไม่ผิดอะไร
ตลอดทั้งเรื่องกามู สร้างตัวละครที่มีมุมมองแบบที่คนทั่วไปคาดไม่ถึง เป็นปรัชญาที่เข้าใจง่ายๆ หากแต่ลึกล้ำในการบอกเล่าถึงสิ่งลวงอันเกิดขึ้นจริงในสังคม อันอยู่บนพื้นฐานของธรรมชาติมนุษย์ในการแสวงหาข้อสนับสนุนว่าตนไม่ได้ผิดไปกว่าใคร ในส่วนนี้เองซึ่งเป็นจุดคาบเกี่ยวระหว่างความดีความเลว หรือด้านมืดด้านสว่างของมนุษย์ทุกคน
“มนุษย์สองหน้า” นี้คือตัวแทนสามัญชนทั่วไปซึ่งมักจะมีมากกว่าสองหน้าขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ต้องการรู้จักตัวเองและสังคมให้มากขึ้นไปในแง่มุมใหม่ๆ แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ยอมรับด้านมืดของตัวเองไม่ได้ เพราะโดยพื้นฐานจิตใจของมนุษย์ย่อมไม่ต้องการใครรู้เท่าทันตัวตนของตนเองมากเกินไป อันเป็นพรสวรรค์ของอัลแบร์ กามู แต่หากใครต้องการรับรู้ความเป็นไปของตนเองในแง่มุมใหม่ๆ จะไม่ผิดหวังเมื่อรู้จัก ฌ็อง-บัปติสต์ กลาม็องซ์ “ผู้พิพากษา-ผู้สำนึกผิด” คนนี้มากขึ้น


สรุปเนื้อเรื่องมนุษย์สองหน้า
กล่าวถึงบาร์แห่งหนึ่งในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เค้าให้ความสนใจคนๆหนึ่งชื่อนายกอริลลาเป็นเจ้าของบาร์แห่งนี้แต่ผิดสังเกตที่ว่าบาร์แห่งนี้ใช้เป็นที่ต้อนรับกะลาสีจากทุกมุมทั่วโลกแต่เค้ากับพูดได้เพียงภาษาเดียวคือภาษา ฮอลันดา นั่นเอง และอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เค้าทำหน้าขมึงทังเพราะทำตัวให้คนไม่ไว้วางใจทั้งสิ้น เพราะไม่รู้ว่าใครจะวางใจได้บ้าง และนอกจากนั้นยังมีคนหลายสัญชาติแวะมาในบาร์แห่งนี้บางคนแต่งตัวดูดีแต่ก็เป็นเพียงภายนอกเท่านั้น แต่ภายในจิตใจอาจจะไม่ได้ดูดีเหมือนการแต่งตัว แม้ใช้จะภาษาพูดที่สวยงาม ดูดี เค้ายังได้เปรียบเมืองปารีสว่าเป็นเมืองแห่งภาพลวงตาว่าเป็นแค่ฉากวิจิตรหรูหราเท่านั้น แต่มองลึกลงไปแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย บางครั้งยุคประวัติศาสตร์อาจจะเป็นยุคที่ดีกว่ายุคสมันใหม่ของปารีสหรือยุโรปด้วยซ้ำไปแต่เหตุไหนคนในสมัยนี้จึงเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ยุคใหม่ ไม่ว่าหญิงหรือชายล้นเป็นชนชั้นกลางเข้ามาสู่สถานที่นี้เพราะความหลง ความโง่ กล่าวคือ บ้างก็เป็นผู้มีจินตนาการสูง บ้างแทบจะไม่มีอะไรเลย
และตัวเค้าได้มีอาชีพเป็นทนายความเค้าได้เปรียบอาชีพนี้ว่าเป็นเหมือนมนุษย์สองหน้าแต่ปัจจุบันเค้าได้เลิกและได้มาทำอาชีพเป็นผู้พิพากษา-ผู้รับผิดชอบ ตัวเค้าเองก็มีเรื่องราวที่เป็นสองด้านคือด้านที่ดีและอีกด้านหนึ่งคือด้านมืดของตัวเค้าเอง เปรียบได้ว่าเค้าเองก็เป็นมนุษย์สองหน้า คือเรื่องราวดีๆ ของเค้ามีอยู่ว่า สมัยก่อนได้มีอาชีพเป็นทนายความซึ่งเค้ามีความยุติธรรมรักในความซื่อสัตย์ และมีฐานะร่ำรวยและช่วยเหลือคนยากคนจนในการว่าความและประสบผลสำเร็จตลอด และไม่เคยคิดเอาค่าตอบแทนจากคนยากคนจนเลย ไม่ว่าจะเป็นคดีเด็กกำพร้า คดีแม่หม้าย เค้ารับทำหมดต่อสู้กับความยุติธรรมราวกับเป็นอัศวินปราบสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวและเค้าเองเป็นคนที่ใฝ่สูง ชอบทำบุญ และเป็นคนที่ทะเยอทะยานเป็นชอบเป็นทาสรับใช้ใคร ชอบอยู่เหนือคนอื่นเป็นเจ้านายตัวเอง ในส่วนของเรื่องราวอีกด้านหนึ่งของเค้าคือเรื่องราวที่เป็นด้านมืดของเค้า แม้ว่าเค้าเป็นคนที่รักความยุติธรรมก็จริง แต่ในใจของเค้าเองกลับมีแต่ความเห็นแก่ตัวอยู่อย่างมาก เค้าสามารถทำทุกสื่งเพื่อแลกกับความพึงพอใจและสิ่งที่ตนเองรักด้วยไม่คำนึงถึงความเดือนร้อนของบุคคลอื่นเลย และเป็นข้อเสียของเค้าเองอีกด้วย และนี้คือเรื่องราวที่เป็นของคนในสมัยยุคนั้นที่เป็นชนชั้นยุดกลางย่อมมีส่วนดีและส่วนๆหนึ่งที่เป็นเหมือนนรก เป็นด้านมืดอยู่ด้วย เราจึงเปรียบมนุษย์ในยุคนั้นเป็นเสมือนคนสองหน้าหรือเป็นมนุษย์สองหน้านั่นเอง

บทวิจารณ์
เรื่อง มนุษย์สองหน้า คำสารภาพแห่งการเปลื้องเปลือยจิตวิญญาณ

ข้อดีข้อเสีย
-ข้อดี
1. เรื่องที่อ่านนี้ทำให้เราได้รู้ถึงความเห็นแก่ตัวของคนเราซึ่งมีอยู่ในตัวทุกคน ที่เป็นสัญชาตญาณ มาตั้งแต่เกิด
2. ทำให้รู้ว่าคนในสมัยก่อนมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ ซึ่งทำให้เกิดการเลื่อมล้ำทางวัฒนธรรมและ สิทธิเสรีภาพของบุคคล
3.การที่คนเรานั้นมีนิสัยสองด้านคือด้านที่เป็นส่วนนอกและด้านที่เป็นส่วนภายในจิตใจมีทั้งในด้านดีและที่เป็นในด้านมืด
4. บ่งบอกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน และบอกถึงลักษณะบุคลิกของตัวละครในเรื่องได้อย่างเหมาะสม
-ข้อเสีย
1. ในเรื่องราวนี้เป็นวัฒนธรรมที่เป็นของต่างชนชาติ ทำให้ผู้อ่านนั้นเข้าใจได้ยากและเกิดความสับสนในเรื่องราว
2. การบ่อบอกถึงลักษณะนิสัยและความเป็นชั้นชนในเรื่องนี้เป็นความมีเอกลักษณะเฉพาะ ทำให้ผู้อ่านนั้นเข้าใจยาก และอาจตีความผิดได้
3. การบ่งบอกถึงสัญชาติ ศาสนา วัฒนธรรมนั้นมีน้อยทำให้ผู้อ่านยังขาดในส่วนตรงนี้ถ้ามีเพิ่มเติมจะช่วยให้อ่านได้อย่างเข้าใจยิ่งขึ้น

จากเรื่องที่ได้อ่านแล้วทำให้เราได้รับรู้ถึงลักษณะของนิสัยภายในตัวบุคคลที่มีอยู่สองด้านคือในส่วนด้านที่ดีและยังมีอีกด้านหนึ่งคือด้านมืด ด้านที่ปกปิดความจริงของตัวบุคคลเอาไว้ถ้าหากเราได้รับการสาภาพหรือการบอกในสิ่งที่ไม่ดีออกเป็นก็จะทำให้ภายในใจของบุคคลนั้นสงบและยังเป็นเหมือนการระบายความผิดของจากตัว รู้สกสบายในใจมากยิ่งขึ้นในก็หมายความว่าจิตวิญญาณของตัวเราเองนั้นได้เป็นสุขแล้ว และนอกจากนนี้ยังได้รับรู้ถึงความเป็นคน ชนชาติ วัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อของคนในสมัยยุคนั้นด้วย
เรื่องย่อ โจนาธาน ลิฟวิ่งสโตน นางนวล
และบทวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องโจนาธาน


เรื่องย่อ โจนาธาน ลิฟวิ่งสโตน นางนวล

ยามเช้า .....ดวงตะวันใหม่สดใสส่องแสงสีทองทอดทาบระลอกทะเลที่สงบเยือกเย็น เรือตกปลาลำหนึ่งจอดลอยอยู่ห่างจากชายฝั่งหนึ่งไมล์ ส่ง
สัญญาณให้อาหารนกกระจายขึ้นไปในอากาศ และแล้วฝูงนางนวลจำนวนพันก็โผบินเข้ามาแย่งอาหารกันกิน
วันแห่งความสับสนอีกวันหนึ่งก็เริ่มขึ้น......
แต่ไกลออกไปจากชายฝั่งและเรือ โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล กำลังฝึกบินอยู่เดียวดาย มันบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้าหนึ่งร้อยฟุต ลดเท้าที่ติดกันลง เชิดปากขึ้น และกระชับปีกเข้าหากันเพื่อหักมุมเลี้ยวที่แสนยากเย็น เมื่อมันเลี้ยวโจนาธานก็บินได้ช้าลง และเมื่อมันบินช้าๆ สายลมก็พัดผ่านหน้าราวกับเสียงกระซิบ เบื้องล่างท้องทะเลดูสงบนิ่ง โจนาธานหรี่ตาตั้งสติแน่วแน่กลั้นหายใจ แล้วก็บังคับให้ตัวหักมุมเลี้ยว….อีกหนึ่งนิ้วฟุต…แต่แล้วขนของมันก็กระจุย มันชงักเสียหลักตกลงมา
คงจะรู้กันว่านางนวลนั้นไม่มีวันที่จะบินเสียหลัก การเสียหลักในอากาศเป็นเรื่องน่าอายและเสียเกียรติอย่างยิ่ง แต่นางนวลโจนาธาน ลิฟวิสตันไม่ใช่นกธรรมดาๆ มันไม่อาย มันกางปีกออกอีกครั้งเพื่อจะบินหักมุมเลี้ยวอันแสนยากนั้น มันบินอีกอย่างช้าๆ และแล้วมันก็เสียหลักอีกทีหนึ่งจนได้
นางนวลส่วนมากมักไม่พะวงกับการเรียนรู้เรื่องบินมากไปกว่าที่จะบินแบบง่ายๆ มันมักจะบินจากฝั่งออกไปหาอาหารแล้วก็บินกลับ สำหรับนางนวลทั่วๆ ไป การกินนั้นสำคัญกว่าการบิน แต่สำหรับโจนาธานนั้นการกินไม่ใช่เรื่องที่สำคัญไปกว่าการบิน โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล รักที่จะบินเหนือสิ่งอื่นใด โจนาธานรู้ว่าการที่มันคิดเช่นนี้ ทำให้มันไม่เป็นที่ชอบพอในหมู่นกด้วยกัน แม้แต่พ่อแม่ของมันเองก็ไม่พอใจที่โจนาธานใช้เวลาทั้งวันฝึกบินร่อนระดับต่ำอยู่ตัวเดียว ตั้งวันละร้อยๆ ครั้ง
โจนาธานไม่รู้ว่าทำไมตนจึงเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อมันบินเหนือน้ำเพียงครึ่งความยาวของปีก มันก็ลอยอยู่ในอากาศได้นานๆ โดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย เมื่อมันร่อนมาลงทะเลมันก็ไม่ใช้เท้าระน้ำแบบธรรมดา แต่มันกลับหดเท้าแน่นไว้กับลำตัวเวลาลงแตะผิวน้ำ และเมื่อมันเริ่มร่อนลงชายหาด มันก็ใช้ลำตัวไถไปเป็นแนวยาวบนพื้นทราย ซึ่งทำให้พ่อแม่ของโจนาธานอ่อนอกอ่อนใจอย่างยิ่ง
"ทำไมนะ จอน ทำไม" แม่ถามขึ้น "ทำไม่มันยากนักรึที่จะทำตัวให้เหมือนนกอื่นๆ ในฝูง หือ จอน ทำไมแกไม่ปล่อยให้การบินระดับต่ำเป็นเรื่องขอนกเพลิแกน หรือนกอัลบาทรอส แล้วทำไมแกไม่กินซะบ้าง จอน แกน่ะเหลือแต่กระดูกและขน!"
"แม่ ฉันไม่กลัวที่จะเหลือแต่กระดูกและขนฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเมื่อฉันอยู่ในอากาศ ฉันจะทำอะไรได้หรือทำไม่ได้ ฉันเพียงแต่อยากรู้เท่านั้นเอง"
"นี่นะโจนาธาน" พ่อพูดขึ้นอย่างไม่ไร้ความปรานี "หน้าหนาวก็ไม่ไกลนัก แล้วเรือหาปลาเหลือไม่กี่ลำ และปลาผิวน้ำก็จะว่ายลงสู่น้ำลึก ถ้าแกจะต้องเรียนรู้ แกก็ต้องเรียนรู้เรื่องอาหาร และก็หาอาหารกินให้ได้ เรื่องการบินนี่นะดีอยู่หรอก แต่แกก็น่าจะรู้ว่าการบินการร่อนกินเข้าไปไม่ได้ อย่าลืมว่าเหตุที่แกบินก็เพื่อเอาไว้หากิน"
โจนาธานพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง และในเวลาสองสามวันต่อมามันก็พยายามทำตัวเหมือนๆ นางนวลอื่นๆ มันพยายามส่งเสียงร้อง สู้ ร่อนลงแย่งเศษปลาและขนมปังกับฝูงนกที่ท่าน้ำและเรือตกปลา แต่มันก็ทำได้ไม่ตลอด โจนาธานคิดว่าการทำเช่นนั้นช่างไม่มีจุดหมายเสียเลย บางครั้งมันก็ทิ้งปลาแห้ง ซึ่งได้มาอย่างยากเย็นให้กับนกนางนวลแก่ๆ หิวโหยที่บินตามมันมา โจนาธานคิดว่ามันควรจะใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกบิน มีอะไรๆ มากมายที่จะต้องเรียนรู้ อีกไม่นานต่อมาโจนาธานก็ออกไปไกลอยู่ในทะเลตัวเดียว มันหิว มีความสุข และเรียนรู้ สิ่งที่มันเรียนรู้ก็คือ ความเร็ว และภายในเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ฝึกฝนอยู่ มันก็เรียนรู้เรื่องความเร็วมากกว่านกนางนวลที่บินเร็วที่สุดตัวใดๆ
โจนาธานกระพือปีกอย่างแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันทิ้งตัวจากความสูงหนึ่งพันฟุตดิ่งลงมาหาฟองคลื่น และมันก็เริ่มจะรู้ว่าทำไมนกนางนวลอื่นๆ ถึงไม่บินพุ่งตัวดิ่งลงมา เพราะภายในเวลาหกวินาทีมันก็สามารถบินดิ่งได้เจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วที่ทำให้ปีกของมันสั่งคลอนตอนตีปีกขึ้น โจนาธานบินอย่างระมัดระวังและสุดความสามารถ แต่มันก็เสียการทรงตัวเมื่อบินด้วยความเร็วสูง
มันพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า มันบินขึ้นไปสูงหนึ่งพันฟุต ตรงไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลัง ตีปีก แล้วก็พุ่งดิ่งลงมาเป็นแนวตรง แต่ทุกๆ ครั้งที่มันทำเช่นนั้น ปีกซ้ายของมันก็เสียหลักเมื่อยกปีกขึ้น มันถลาไปทางซ้ายอย่างรุนแรง มันพยายามใช้ปีกข้างขวาทรงตัว แต่มันก็ตีลังกาหมุนกลับทันที ราวกับไฟปะทุ โจนาธานระมัดระวังไม่พอตอนตีปีกขึ้น มันพยายามใหม่ตั้งสิบครั้ง และทั้งสิบครั้งนั้นมันก็บินได้ถึงเจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง แต่ขนของมันกระจุยเสียหลัก ตกกระแทกลงสู่พื้นน้ำ
โจนาธานเปียกโชก และมันก็คิดได้ในที่สุดว่ากุญแจดอกสำคัญของการบินเร็วก็คือยึดปีกทั้งสองข้างไว้ให้แน่น
มันตีปีกกระชั้นกันห้าสิบครั้งแล้วก็ยึดไว้เฉยๆ มันพยายามอีกครั้งจากระยะสูงสองพันฟุต ทิ้งตัวดิ่งลงมา ปากพุ่งตรง กางปีกออกเต็มที่และยึดนิ่งเอาไว้เมื่อถึงตอนที่บินด้วยความเร็วห้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง มันใช้กำลังมหาศาลแล้วก็ได้ผล ในเวลาเพียงสิบวินาทีโจนาธานสามารถบินได้เก้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง และแล้วมันก็ทำสถิติความเร็วในหมู่นกนางนวล!
แต่ความสำเร็จของมันสั้นยิ่งนัก ทันทีที่โจนาธานเริ่มลดความเร็ว และทันทีที่มันเปลี่ยนมุมปีก มันก็บังคับตัวไม่อยู่ในระยะของการบินเก้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง การเสียหลักทรงตัวเกิดขึ้นราวกับดินระเบิด โจนาธาน : นางนวล เสียหลักกลางอากาศและตกลิ่วลงกระทบผิวทะเลที่แข็งราวกับอิฐ
ถึงตอนนั้นบรรยากาศก็มืดสนิท โจนาธาน ลอยตัวในมหาสมุทรท่ามกลางแสงจันทร์ ปีกของมันหนักราวกับห่อหุ้มด้วยแท่งตะกั่ว แต่ดูเหมือนว่าน้ำหนักของความล้มเหลวจะทับถมอยู่บนหลังมันมากกว่า โจนาธานได้แต่ภาวนาอย่างอ่อนระโหย ให้น้ำหนักนั้นถ่วงมันจมลงสู่ก้นทะเล จะได้จบสิ้นกันเสียที
เมื่อมันเริ่มจมลงในน้ำนั้น โจนาธานได้ยินเสียงพูดโหยหวนและประหลาดขึ้นมาในตัวของมันเอง ไม่มีทางแน่ๆ ฉันเป็นแต่เพียงนางนวล ธรรมชาติได้สร้างฉันขึ้นมาอย่างจำกัด ถ้าฉันถูกสร้างมาให้เรียนรู้เรื่องการบินได้ ฉันควรจะต้องมีมันสมองมากมาย ถ้าฉันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้บินเร็วได้ ฉันก็น่าจะต้องมีปีกสร้างอย่างนกเหยี่ยวและฉันก็ควรจะกินหนูแทนที่จะกินปลา พ่อฉันพูดถูกแล้ว ฉันต้องลืมเรื่องโง่ๆ นี่เสีย ฉันจะต้องบิน ต้องบินกลับไปบ้านไปหาฝูงนกของฉัน และฉันควรจะต้องพอใจต่อสภาพของนางนวลที่น่าสงสารและมีความสามารถจำกัดเช่นนี้
เสียงพูดนั้นเงียบหายไป และโจนาธานก็เห็นพ้องด้วย ที่อยู่ของนางนวลยามค่ำคืนก็คือชายฝั่ง โจนาธานให้สัญญากับตัวเองว่านับแต่วาระนี้ต่อไป มันจะยอมเป็นางนวลธรรมดาๆ นั่นจะทำให้ตัวอื่นมีความสุขขึ้น
โจนาธานค่อยๆ บินขึ้นจากพื้นน้ำอันมืดสนิทอย่างอ่อนระโหยกลับเข้าสู่ชายฝั่ง มันบินกลับในระดับต่ำ และก็พอใจที่ตนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบินเช่นนั้น
โจนาธานคิดต่อไปอีกว่า ไม่ ฉันจะไม่เป็นอย่างที่แล้วมา ฉันจะเลิกเรียน ฉันเป็นนกเหมือนกันกับนางนวลตัวอื่นๆ ฉันจะบินให้เหมือนกับตัวอื่นๆ แม้ว่าจะเจ็บปวดอย่างยิ่ง โจนาธานก็บินสูงขึ้นสูงขึ้นไปหนึ่งร้อยฟุต มันตีปีกแรงมุ่งกลับเข้าหาชายฝั่ง โจนาธานรู้สึกสบายใจขึ้น ที่ได้ตัดสินใจเป็นนกเหมือนๆ กับนกในฝูง ทีนี้ก็จะไม่มีพันธะบังคับให้โจนาธานต้องเรียนรู้ แล้วก็จะไม่มีความท้าทายหรือความล้มเหลวอีกต่อไป มันช่างสวยสดจริงที่เลิกคิดเสียได้ และแล้วโจนาธานก็บินผ่านความมืด มุ่งไปหาแสงไฟที่ชายฝั่ง
ความมืด! เสียงอันโหยหวนก้องขึ้นอย่างตกใจ นางนวลไม่มีวันที่จะบินในความมืด!
โจนาธานไม่ได้ตื่นใจที่จะฟังเสียงนั้น มันมัวแต่คิดว่าช่างงดงามเสียจริง ดวงจันทร์ส่องแสงระยิบระยับเหนือพื้นน้ำสาดแสงเป็นทางยาวเล็กๆ ทอดข้ามยามค่ำคืน ทุกอย่างสงบและนิ่ง…. บินลงไปซะ! นางนวลไม่เคยบินในความมืด! ถ้าเธอถูกสร้างมาให้บินในความมืด เธอจะต้องมีตาเหมือนนกฮูก เธอจะต้องมีมันสมองมากมาย เธอจะต้องมีปีกสั้นเหมือนนกเหยี่ยว!
โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล กระพริบตาในความมืดของยามค่ำคืน ในอากาศที่สูงหนึ่งร้อยฟุต และแล้วความปวดร้าว คำมั่นสัญญาของมันก็สูญสิ้นไป ปีกสั้น ปีกที่สั้นอย่างนกเหยี่ยว! นั่นคือคำตอบ! ฉันช่างโง่เสียนี่กระไร! สิ่งที่ฉันต้องการก็คือปีกสั้นนั่นเอง สิ่งที่ฉันต้องทำก็คือ พับปีกของฉันไว้เสียให้เกือบหมด แล้วก็ใช้แต่เพียงปลายปึกเท่านั้นบิน! ปีกสั้น
และแล้วโจนาธานก็บินสูงขึ้นไปสองพันฟุต เหนือท้องทะเลที่มืดสนิท โดยที่ไม่ต้องหยุดชะงักนึกถึงความล้มเหลวหรือความตายมันยึดโคนปีกไว้แน่นกับลำตัว ปล่อยแต่เพียงส่วนที่เล็กของปลายปีตวัดโต้ลม มันพุ่งตรงลงมา
เสียงลมก้องสนั่นปะทะหัวของโจนาธาน มันบินเจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง เก้าสิบไมล์ ร้อยยี่สิบไมล์ และก็ยิ่งเร็วขึ้นๆ ตอนนี้ปีกของมันที่กางบินร้อยสี่สิบไมล์ต่อชั่วโมงก็ดูไม่ยากเย็นเหมือนตอนบินเจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง และเพียงแค่มันบิดปลายปีกนิดเดียวมันก็สามารถจะชลอความเร็ว เมื่อพุ่งดิ่งลงมาเหนือฟองคลื่น ซึ่งดูราวกับลูกปืนใหญ่สีเทาภายใต้แสงจันทร์
โจนาธานหรี่ตาลงปะทะลมแล้วก็ลิงโลดใจ หนึ่งร้อยสี่สิบไมล์ต่อชั่วโมง! ซ้ำยังบังคับตัวได้! ถ้าหากฉันพุ่งดิ่งจากระดับห้าพันฟุต แทนที่จะเป็นจากสองพันฟุต ฉันสงสัยว่ามันจะเร็วได้สักแค่ไหน……
โจนาธานลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองเมื่อครู่ก่อนเสียสิ้นมันโผบินไปมาในสายลม และมันก็ไม่รู้สึกผิดที่ทำลายคำสัญญานั้นเสีย คำมั่นสัญญาแบบนั้นเป็นเรื่องของนางนวลที่ยอมรับความธรรมดาสามัญ แต่สำหรับผู้ที่ได้ชิมความเป็นเลิศในการเรียนรู้ ไม่มีความจำเป็นจะต้องยึดคำสัญญาแบบนั้น.
เมื่อดวงตะวันขึ้น นางนวลโจนาธานยังคงฝึกบินอยู่ต่อไป จากระดับห้าพันฟุตเรือหาปลาดูเป็นเพียงจุดเล็กจุดน้อย เหนือพื้นน้ำสีน้ำเงินที่แบนราบ กลุ่มนกที่ออกหากินตอนเช้าดูคล้ายกลุ่มฝุ่นบางๆ ที่หมุนเป็นวงกลม โจนาธานรู้สึกมีชีวิตชีวา มันสั่นสะท้านเล็กน้อยด้วยความดีใจ ภูมิใจที่บังคับความหวาดกลัวไว้ได้ และแล้วโดยไม่ต้องมีพิธีการมันขยับโคนปีกเข้าลำตัวเหยียดแต่เพียงปลายปีกอันสั้นออกไป โจนดิ่งพุ่งลงสู่ท้องทะเล
เมื่อถึงตอนที่มันถลาลงจากระดับสี่พันฟุต มันก็ถึงที่สุดของความเร็ว
โจนาธานเริ่มชะลอความเร็ว เมื่อถึงระดับหนึ่งพันฟุต ปลายปีกของมันสั่นสะท้านเมื่อต้องลมมหากาฬนั้น เบื้องหน้าของมัน เรือและฝูงนางนวลพุ่งตรงเข้ามารวดเร็วดั่งดาวตก โจนาธานหยุดไม่ได้ มันไม่รู้ว่าจะหักเลี้ยวได้อย่างไร เมื่อบินด้วยความเร็ซขนาดนั้น ถ้าชนกันก็ตายทันที ดังนั้นโจนาธานจึงได้แต่หลับตา
บังเอิญเหลือเกินว่าในตอนเช้าวันนั้นหลังดวงตะวันขึ้น นางนวล : โจนาธาน ลิฟวิงสตัน บินผ่านพุ่งเข้าไปในตอนกลางของกลุ่มนกที่ออกหากินตอนเช้า มันผ่านไปด้วยความเร็วสองร้อยสิบสองไมล์ต่อชั่วโมง ดวงตาปิดสนิทลมและขนของมันส่งเสียงหวาดหวือสนั่นแต่นางนวลแห่งโชคยิ้มให้มันและไม่มีใครต้องถึงตาย
เมื่อถึงตอนที่มันเชิดปากบินสู่ฟ้า โจนาธาน ก็ยังคงพุ่งไปด้วยความเร็วหนึ่งร้อยหกสิบไมล์ต่อชั่วโมง และเมื่อมันลดความเร็วเหลือเพียงยี่สิบไมล์ต่อชั่วโมง มันก็กางปีกออกได้ในที่สุด
ถึงตอนนั้นเรือหาปลาลอยอยู่ในทะเลเบื้องล่างห่างจากมันสี่พันฟุต .
สิ่งที่โจนาธานคิดได้ก็คือชัยชนะ ความเร็วสุดยอด! นางนวลบินได้ถึง สองร้อยสิบสี่ไมล์ต่อชั่วโมง! มันช่างเป็นประวัติการณ์ เป็นชั่วขณะที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของฝูงนกนางนวล เป็นชั่วขณะของยุคใหม่ที่เปิดต้อนับโจนาธาน ลิฟวิงสตัน
มันบินออกไปยังสถานที่ฝึกบินอันโดดเดี่ยว หดปีกเข้าเพื่อพุ่งดิ่งลงจากระดับแปดพันฟุต คราวนี้มันจะค้นหาวิถีหักมุมเลี้ยว และแล้วโจนาธานก็ค้นพบว่า เพียงขยับปลายปีกเพียงส่วนนิดเดียวของหนึ่งนิ้วฟุต ทำให้มันวาดวงโค้งได้อย่างสวยในช่วงความเร็วมหาศาลนั้น อย่างไรก็ตามก่อนมันจะค้นพบวิธี มันก็พบว่าหากขยับขนมากกว่าหนึ่งอันในช่วงความเร็วนั้น มันก็จะหมุนติ้วราวกับลูกปืนไรเฟิล…. โจนาธานกลายเป็นนางนวลตัวแรกที่บินกายกรรมบนอากาศก่อนนางนวลตัวใดๆ ในโลกวันนั้น โจนาธานไม่ยอมเสียเวลาที่จะคุยกับนางนวลตัวอื่นๆ มันบินไปจนตะวันตก มันค้นพบวิธีบินเป็นวง บินกลิ้งช้า บินกลิ้งตรง บินหมุนกลับ บินผลักนางนวล บินหมุนลูกข่าง

เมื่อโจนาธานกลับเข้าไปหาฝูงนางนวลบนชายฝั่ง เวลาก็ล่วงเลยเป็นกลางคืน มันรู้สึกเวียนหัวและเมื่อยล้านักหนา กระนั้นก็ตามมันบินเป็นวงเพื่อร่อนลงด้วยความปิติยินดี มันคิดว่าเมื่อพรรคพวกได้ฟังเรื่องความสำเร็จพวกนั้นคงจะตื่นเต้นดีใจด้วย ช่างมีค่าเหลือเกินที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในตอนนี้! ชีวิตมีความหมายมากขึ้นกว่าการบินอย่างเซ็งๆ กลับไปกลับมาจากเรือหาปลา เราสลัดความโง่เขลาทิ้งเสียได้ เราค้นพบได้ว่าเราเป็นสัตว์วิเศษ ฉลาดรอบรู้ เราเป็นอิสระได้! เราเรียนรู้ที่จะบินได้! แล้วกาลเวลาข้างหน้าก็กระหึ่มและวาววามด้วยคำมั่นสัญญา
เมื่อโจนาธานร่อนลงนั้น บรรดานกนางนวลจับกลุ่มกันเป็นที่ประชุมสภา และก็คงยืนจับกลุ่มกันมาได้พักใหญ่แล้ว ที่จริงพวกนั้นคงจะรออยู่
"โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล เข้ามายืนตรงกลาง!" เสียงผู้ใหญ่นก ดังขึ้นอย่างมีพิธีรีตองสูงสุด การยืนตรงกลางหมายถึงเพียงความอับอายหรือไม่ก็เสื่อมเสียเกียรติยศอย่างใหญ่หลวง แต่การยืนตรงกลางเพื่อเกียรติก็เป็นวิธีกำหนดผู้นำนางนวลขั้นสูง
โจนาธานคิดว่า เมื่อเช้านี้พวกฝูงนกออกหากินคงจะได้เห็นความสำเร็จในการบินของมันแน่ทีเดียว! แต่ฉันไม่ต้องการเกียรติยศ ฉันไม่เคยคิดอยากจะเป็นผู้นำ ฉันเพียงแต่อยากเอาสิ่งที่ค้นพบมาเผยแพร่ร่วมกัน ฉันเพียงอยากให้พวกเราทุกตัวได้เห็นขอบน้ำกับฟ้าเบื้องหน้าโน้น
แล้วโจนาธานก็ก้าวออกไป
"โจนาธาน ลิฟวิงสตัน" ผู้ใหญ่นก พูด "เข้ามายืนตรงกลางเพื่อให้นกอื่นๆ เห็นความอับอาย!" โจนาธานรู้สึกเหมือนกับว่าถูกตีด้วยแผ่นกระดาษ เข่าของมันอ่อนเปลี้ย ขนตกลู่ หูอื้อ ยืนตรงกลางเพื่อความอับอาย? เป็นไปไม่ได้! ความสำเร็จ! พวกนั้นไม่เข้าใจ! พวกนั้นคิดผิด พวกนั้นคิดผิด!
"…เพื่อความเหลวไหลและความหุนหันพลันแล่น" เสียงที่เคร่งขรึมดังขึ้น ทำลายเกียรติยศและประเพณีของตระกูลนางนวล.."เข้าไปยืนตรงกลางเพื่อความอับอายหมายถึงว่า โจนาธานจะถูกไล่ออกจางฝูงนกและถูกขับให้ไปมีชีวิตเดียวดายที่ หน้าผาโพ้น
"…สักวันหนึ่ง โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล แกจะรู้ว่าการไร้ความรับผิดชอบไม่มีประโยชน์อะไร ชีวิตเป็นเรื่องลี้ลับ และจะเรียนรู้ไม่ได้ เรามาอยู่ในโลกนี้เพียงเพื่อกิน และพยายามมีชีวิตอยู่ให้ยืนยาวเท่าที่เราจะทำได้"
นางนวลจะพูดโต้ตอบที่ประชุมสภาไม่ได้ แต่ โจนาธานก็กล่าวแย้งขึ้น
"ไร้ความรับผิดชอบ? พี่น้องของฉัน!" มันร้องขึ้น
"ใครกันแน่ที่จะมีความรับผิดชอบเท่ากับนางนวลตัวที่ค้นและติดตามความหมาย ซึ่งเป็นจุดประสงค์สูงส่งในชีวิต นับเป็นเวลาพันปีที่พวกเราได้แต่ตะกุยตะกายหาแต่ปลา แต่บัดนี้เรามีเหตุและผลที่จะดำรงชีวิตอยู่เพื่อเรียนรู้ เพื่อค้นหา และเพื่อเป็นอิสระ! ให้โอกาสฉันสักครั้งให้ฉันแสดงให้ท่านดูว่าฉันได้ค้นพบอะไร…"
"ความเป็นพี่น้องขาดกัน" บรรดานางนวลกล่าวขึ้นพร้อมกันและต่างก็ตกลงปิดหูไม่รับฟังหันหลังให้โจนาธาน
โจนาธานนางนวลใช้เวลาหลังจากนั้นอยู่ตัวเดียว มันบินไกลออกไปจาก หน้าผาโพ้น ความเสียใจของมันมิใช่ที่ต้องอยู่อย่างสันโดษ แต่เพราะนางนวลอื่นๆ ไม่ยอมเชื่อในความมหัศจรรย์ของการบินที่รอคอยพวกมันอยู่ พวกนั้นไม่ยอมที่จะลืมตาออกดู
โจนาธานเรียนรู้มากขึ้น ทุกวัน ทุกวัน มันค้นพบว่าการพุ่งดิงตรงลงมาทำให้มันลงไปจับปลารสอร่อยๆ หายากที่ว่ายอยู่ลึกถึงสิบฟุตใต้ผิวน้ำในมหาสมุทร โจนาธานเลยไม่ต้องอาศัยหากินกับเรือหาปลา หรือขนมปังเก่าๆ อีกต่อไป มันเรียนรู้วิธีที่จะหลับนอนในอากาศโดยการบินทวนลมบกตอนกลางคืนเป็นระยะทางตั้งร้อยไมล์จากตะวันตกถึงตะวันขึ้น และด้วยวิธีเดียวกัน มันสามารถบินฝ่าหมอกทะเลที่ลงจัด ขึ้นไปเหนือสู่ท้องฟ้าที่ให้เป็นประกาย… ในขณะที่นกนางนวลตัวอื่นๆ ต้องทนอยู่ที่ชายหาด ทนอยู่กับหมอกและฝน
โจนาธานเรียนรู้วิธีร่อนไปกับลมที่พัดจัดลึกเข้าไปจากชายฝั่ง และมันก็ได้กินแมลงรสดีๆ สิ่งที่โจนาธานเคยหวังว่าจะให้ฝูงนกเรียนรู้นั้น กลายเป็นสิ่งที่มันรู้ไว้แต่เพียงตัวเดียวในขณะนี้ มันเรียนรู้การบินและก็ไม่เสียใจที่ถูกเคราะห์กรรม นางนวลโจนาธานค้นพบว่าความเบื่อหน่าย ความกลัว ความโกรธ เป็นต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตนกนางนวลสั้นยิ่งนัก และเมื่อสิ่งเหล่านี้สูญหายไปจากจิตใจของมัน โจนาธานก็มีชีวิตยืนยาวสดใสยิ่ง
พวกนั้นมาถึงเมื่อตอนพลบค่ำ มาพบโจนาธานกำลังบินร่อนอยู่อย่างสงบตัวเดียวภายใต้ท้องฟ้าที่มันรัก นางนวลสองตัวที่มาปรากฎใกล้ปีกของโจนาธานนั้นดูบริสุทธิ์ราวกับแสงดาว และรังสีที่เปล่งออกมาดูเยือกเย็นเป็นมิตรในอากาศของยามค่ำคืน แต่สิ่งที่งดงามที่สุดก็คือ ความชำนำชำนาญในการบินของนกสองตัวนั้น ปลายปีกขยับทีละนิ้วฟุต อย่างแม่นยำและมั่นคงเมื่อเทียบกับโจนาธาน
โดยที่มิได้พูดอะไร โจนาธานทำการลองเชิงนางนวลสองตัวนั้น การลองเชิงที่ไม่มีนางนวลตัวใดเคยผ่านไปได้ โจนาธานขยับบิดปีกร่อนลงช้าลงเหลือเพียงหนึ่งไมล์ต่อชั่วโมงจนเกือบหยุดนิ่ง เจ้าสองตัวแสนงามนั้นบินช้าลงเช่นกันอย่างนิ่มนวลด้วยท่าอันถูกต้องมันรู้วิธีบินช้าเป็นอย่างดี โจนาธานขยับปีกเข้า ถลาไป แล้วก็พุ่งดิ่งลงด้วยความเร็วเก้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง นางนวลสองตัวนั่นก็พุ่งดิ่งลงมาพร้อมกับโจนาธานโดยไม่ผิดพลาด
ในที่สุดโจนาธานก็เปลี่ยนความเร็วนั้นขึ้นไปเป็นเส้นตรง ถลาไปอย่างช้าๆ เจ้าสองตัวนั่นก็ถลาตามมาแล้วยิ้ม
โจนาธานกลับไปบินระดับตรง เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้น
"เอาละ" มันว่า "เธอเป็นใคร"
"เรามาจากฝูงของเธอ โจนาธาน เราเป็นพี่น้องของเธอ" คำพูดดูหนักแน่นและเยือกเย็น
"เรามาเอาเธอไปที่สูงไกลออกไป เอาเธอกลับบ้าน"
"บ้านฉันไม่มี ฝูงฉันก็ไม่มี ฉันเป็นตัวหัวเน่า และตอนนี้เราก็บินอยู่สูงสุด ลมภูผาใหญ่ แล้ว เพียงอีกแค่สองสามร้อยฟุตฉันก็จะพยุงตัวบินสูงขึ้นไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว"
แต่เธอทำได้ โจนาธาน เพราะเธอได้เรียนรู้มาแล้ว จบสิ้นไปแล้วหนึ่งโรงเรียน ตอนนี้ ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มใหม่อีกโรงเรียนหนึ่ง"
เหมือนดั่งกับว่าโจนาธานได้รู้มากแล้วชั่วชีวิต นางนวลโจนาธานเข้าใจเป็นอย่างดีในฉับพลัน เจ้านกสองตัวนั่นพูดถูก โจนาธานบินสูงขึ้นไปได้ และถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้านแล้ว โจนาธานมองดูท้องฟ้า แผ่นดินสีเงินงามที่มันได้เรียนรู้อย่างมหาศาลเป็นครั้งสุดท้ายเป็นเวลานาน
ฉันพร้อมแล้ว" โจนาธานพูดขึ้นในที่สุด
และแล้วนางนวลโจนาธาน ลิฟวิงสตัน ก็บินสูงขึ้นไปพร้อมกับนกสองตัวที่สดใสราวกับดาวนั่น หายเข้าไปในท้องฟ้าที่มืดสนิท

โจนาธานคิดและต้องยิ้มกับตัวเอง มันช่างไม่น่านิยมเลยที่จะวิเคราะห์สวรรค์ในขณะที่กำลังบินเข้าไปหา
เวลาที่โจนาธานบินออกจากโลก เหนือหมู่เมฆเคียงข้างไปกับนางนวลสดใสสองตัวนั้น มันเริ่มมองเห็นว่าตัวของมันเองก็ส่งประกายสุกสกาวราวกับเจ้านกสองตัวนั่น แน่นอน นางนวลหนุ่มโจนาธานยังคงอยู่เหมือนเดิมดั่งที่เคยเป็นมาเบื้องหลังดวงตาสีทอง แต่รูปกายภายนอกได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว ความรู้สึกก็ยังเป็นตัวนางนวล แต่ว่ามันบินได้ดีกว่าตัวเก่า
ทำไมล่ะ โจนาธานคิดเ พียงใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวฉันก็จะบินได้เร็วถึงสองเท่า สองเท่าของวันที่เคยบินดีที่สุดบนพื้นโลก! ถึงตอนนั้นขนของโจนาธานส่งประกายใสขาว ปีกของมันนุ่มนวลและมั่นคงราวกับแผ่นเงินขัด โจนาธานเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับปีกทั้งสองด้วยความลิงโลด มันสอดใส่พลังเข้าไปในปีกอันใหม่ โจนาธานรู้สึกว่ามันเกือบถึงที่สุดของความเร็วในการบินระดับตรงแล้ว เมื่อมันบินได้ถึงสองร้อยห้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง และเมื่อมันบินได้สองร้อยเจ็ดสิบสามไมล์ต่อชั่วโมง มันคิดว่ามันบินเร็วสูดความสามารถแล้ว และก็ทำให้มันผิดหวังยิ่งที่มีขอบเขตจำกัดต่อรูปกายตัวใหม่ของมัน แม้ว่ามันจะบินได้เร็วกว่าสถิติบินระดับตรงเดิม กระนั้นก็ยังเป็นขอบเขตจำกัดที่ต้องใช้ความพยายามมหาศาลที่จะทำลาย โจนาธานคิดว่าไม่ควรจะมีขอบเขตจำกัดในสวรรค์เลย
ก้อนเมฆแตกกลุ่มออก นกที่มาด้วยทั้งสองร้องขึ้นว่า "ขอให้ร่อนลงด้วยความปลอดภัยนะโจนาธาน" แล้วก็หายลับไปในอากาศที่เบาบางนั้น
โจนาธานบินอยู่เหนือทะเล มุ่งไปสู่แนวชายหาดที่ขรุขระ นางนวลสองสามตัวกำลังฝึกบินพุ่งขึ้นเหนือหน้าผา นกอีกจำนวนหนึ่งกำลังบินอยู่ที่ขอบน้ำกับฟ้าไกลออกไปทางเหนือ นั่นเป็นทัศนภาพใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ และคำถามใหม่ๆ ทำไมถึงมีนางนวลน้อยนัก ในสวรรค์ควรจะเต็มไปด้วยฝูงนกนางนวล! และทำไมฉันถึงได้เหนื่อยนัก อย่างทันทีทันควัน นางนวลในสวรรค์ไม่น่าจะเหนื่อยได้เลย หรือก็ไม่น่าจะต้องหลับนอนด้วย
โจนาธานได้ยินเรื่องแบบนี้มาจากไหนนะ ความทรงจำในชีวิตบนพื้นโลกของมันกำลังหดหายไป แน่นอนพื้นโลกเป็นที่ที่มันได้เรียนรู้อย่างมากมาย แต่รายละเอียดเล็กน้อยกำลังจางหายไป เรื่องเกี่ยวกับการแย่งชิงอาหาร เรื่องเป็นตัวหัวเน่า
นางนวลสิบสองตัวจากชายฝั่งตรงเข้ามาหาโจนาธาน ไม่มีตัวไหนพูดอะไรสักคำ แต่โจนาธานรู้สึกว่ามันได้รับการต้อนรับและที่นี่ก็คือบ้าน วันนั้นเป็นวันสำคัญสำหรับมัน เป็นวันที่มันจำไม่ได้ว่ามีดวงตะวันขึ้นอีกต่อไป
โจนาธานค่อยๆ ร่อนลงบนชายหาด ตีปีกให้หยุดเพียงหนึ่งนิ้วฟุตบนอากาศ แล้วก็หย่อนตัวลงบนพื้นทรายอย่างแผ่วเบา นางนวลตัวอื่นๆ ร่อนลงด้วยเช่นกัน แต่ไม่มีสักตัวเดียวที่ตีขนมากกว่าหนึ่งอัน พวกนั้นหมุนไปกับลม เหยียดปีกที่สดใสออกเต็มที่ แล้วก็ขยับเปลี่ยนวงโค้งที่ขนจนหยุดอยู่กับที่ ในขณะเดียวกับที่เท้าของมันแตะพื้นทราย มันช่างเป็นการบังคับตัวที่งดงาม แต่ในตอนนี้โจนาธานก็หนื่อยเกินกว่าที่จะลองทำดูบ้าง มันม่อยหลับไปในขณะที่ยืนอยู่บนหาดนั้นโดยที่ยังมิได้พูดอะไรสักคำเดียว
หลายๆ วันต่อมา โจนาธานพบว่ามีสิ่งที่ต้องเรัยนรู้มากมายเรื่องการบินในสถานที่นี้ เหมือนกับในชิวิตที่มันทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่ก็แตกต่างกัน ที่นี่นางนวลที่รู้จักคิดเหมือนกับที่มันคิด สำหรับนกแต่ละตัวนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตคือการไขว่คว้าและสัมผัสความเป็นเลิศซึ่งพวกนั้นรักที่จะทำ สิ่งนั้นคือการบิน พวกนั้นทั้งหมดนั่นแหละ พวกนั้นใช้เวลาชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าทุกวันเฝ้าฝึกบินทดลองการเดินทางอากาศที่พิสดาร
เป็นเวลานานทีเดียวที่โจนาธานลืมโลกที่มันจากมา ลืมที่ที่ฝูงนางนวลใช้ชีวิตอยู่ด้วยดวงตาที่ปิดสนิทต่อความเริงรื่นในการบิน ฝูงนางนวลนั้น ใช้ปีกเป็นเครื่องมือสุดสิ้นเพียงการหาหรือแย่งชิงอาหารแต่ในบางครั้งบางคราวเพียงชั่วแวบโจนาธานก็ระลึกขึ้นมาได้บ้าง
เช้าวันหนึ่งโจนาธานออกไปกับครูผู้สอน ขณะที่มันพักอยู่ที่ชายหาดหลังจากวาระการบินถลาเร็วโดยพับปีก มันก็นึกขึ้นมาได้
"เขาหายไปไหนกันหมด ชัลลิแวน" โจนาธานถามขึ้นอย่างเงียบๆ ตอนนี้มันคุ้นเคยกับการติดต่อสนทนาด้วยกระแสจิตอย่างง่ายๆ ที่นางนวลเหล่านี้ใช้แทนการแหกปากตะโกนเจี๊ยวจ๊าว
""ทำไมถึงไม่มีพวกเรามากกว่านี้อยู่ที่นี่ ทำไมนะ ที่ที่ฉันจากมามี…"
"….มีนางนวลเป็นพันๆ ฉันรู้ดี" ซัลลิแวนส่ายหัว "คำตอบคำเดียวที่ฉันพอจะเห็น โจนาธาน คือว่าเธอเป็นนกหนึ่งในล้านทีเดียว พวกเราส่วนมากมาที่นี่ช้าเหลือเกิน เราไปจากโลกหนึ่งสู่อีกโลกหนึ่งที่เกือบจะเหมือนกันหมด แล้วก็ลืมที่ที่เราจากมาทันที ไม่สนใจว่าเราจะไปไหน เราอยู่เพื่อขณะใดขณะหนึ่ง
เธอรู้ไหมว่าสักกี่ชาติที่เราต้องผ่านมาก่อนที่เราจะได้คิดเป็นครั้งแรกว่า ชีวิตมีความหมายมากกว่าการกิน การแย่งชิง หรืออำนาจในฝูงนก? ตั้งพันชาติ โจนาธาน หมื่นชาติ! แล้วก็อีกหนึ่งร้อยชาติที่จะได้ความคิดความหมายในการดำรงชีวิตของเรา คือ การแสวงหาความเป็นเลิศอันนั้นและเผยแพร่ต่อไป กฎเกณฑ์อย่างเดียวกันนี้ตกอยู่กับเราในปัจจุบันแน่นอน เราเลือกโลกหน้าของเราจากสิ่งที่เราเรียนรู้ในโลกนี้ เมื่อไม่เรียนรู้อะไร โลกหน้าก็เป็นเหมือนโลกนี้ มีข้อจำกัดเหมือนๆ กันและสร้างภาระให้ต้องเอาชนะ"
ซัลลิแวนเหยียดปีกออกและหันหน้าไปทางลม
"แต่เธอ จอน" มันพูดขึ้น "เธอเรียนรู้มหาศาลเพียงเวลานิดเดียว เธอไม่ต้องผจญผ่านตั้งพันชาติเพื่อมาถึงชาตินี้"
ชั่วขณะต่อมานางนวลทั้งสองก็ขึ้นไปลอยอยู่ในอากาศอีกครั้ง ฝึกฝนการบินกลิ้งคู่นั้นยากยิ่งเพราะโจนาธานต้องคิดเวลาตีลังกากลับครึ่ง กลับโค้งมุมปีก และกลับให้พร้อมเพรียงกับครูผู้สอน
"ลองดูอีกที"
ซัลลิแวนพูดครั้งแล้วครั้งเล่า "ลองอีกที"
แล้วในที่สุด "ดี" และนางนวลทั้งสองก็เริ่มฝึกบินวงนอก
เย็นวันหนี่ง บรรดานางนวลที่ไม่ได้บินกลางคืนยืนรวมกันอยู่บนหาดทราย และต่างก็คิด โจนาธานรวบรวมความกล้าทั้งหมดไว้เดินเข้าไปหานางนวลผู้ใหญ่ตัวที่พูดกันว่า จะไปพ้นโลกนี้ในไม่ช้า
"เจียง.." โจนาธานกล่าวขึ้น ประหม่าเล็กน้อย
นางนวลเฒ่ามองโจนาธานอย่างเมตตา "ว่าไงลูก" แทนที่จะอ่อนเรี่ยวแรงโดยอายุขัย นางนวลผู้ใหญ่ กลับมีพลัง มันสามารถบินได้เหนือนางนวลใดๆ ในฝูง และมันได้เรียนรู้ความชำนิชำนาญที่นางนวลอื่นๆ เพิ่งจะเริ่มรู้ทีละเล็กละน้อย

"เจียง โลกนี้ไม่ใช่สวรรค์เลย ใช่ไหม?"
นางนวลผู้ใหญ่ยิ้มภายใต้แสงจันทร์
"เธอกำลังเรียนรู้อีกแล้วนางนวลโจนาธาน" มันพูดขึ้น
"เอ้อ อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่นี้? เรากำลังจะไปไหนกัน ไม่มีที่ที่เป็นสวรรค์หรอกหรือ?"
"ไม่มี โจนาธาน ไม่มีที่ที่เป็นสวรรค์ดอก สวรรค์ไม่ใช่สถานที่ และก็ไม่ใช่กาลเวลา สวรรค์คือความเป็นเลิศ" เจียงเงียบไปชั่วขณะ
"เธอเป็นผู้บินเร็วมาก ใช่ไหม?"
"ฉัน…ฉันชอบความเร็ว" โจนาธานเอ่ยขึ้นตะกุกตะกัก แต่ก็ภูมิใจที่นางนวลผู้ใหญ่สังเกตเห็น
"เธอจะเริ่มสัมผัสสวรรค์ โจนาธาน เมื่อถึงเวลาที่เธอสัมผัสความเร็วเลิศนั้น และนั่นไม่ใช่การบินด้วยความเร็วหนึ่งพันไมล์ต่อชั่วโมง หรือหนึ่งล้านไมล์ หรือบินด้วยความเร็วของแสง เพราะว่าไม่ว่าจำนวนใดก็เป็นขอบเขตจำกัด และความเป็นเลิศไม่มีขอบเขต ความเร็วเลิศ,ลูกรัก คือการไปถึงที่นั่น"
โดยปราศจากสัญญาณใดๆ เจียงหายวับไปและปรากฎตัวใหม่อยู่ที่ขอบน้ำห้าสิบฟุตไกลออกไป ทั้งหมดนี้ทำเพียงแค่แวบเดียวของชั่วขณะหนึ่ง เจียงหายวับอีกครั้งและกลับมาเคียงข้างไหล่ของโจนาธาน ในเวลาเพียงมิลลิวินาทีเช่นกัน "สนุกดี" เจียงว่า
โจนาธานงงไปหมด มันลืมที่จะถามเรื่องสวรรค์
"เธอไปที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ตามที่เธอปรารถนาจะไป" นางนวลผู้ใหญ่กล่าวตอบ "ฉันได้ไปมาแล้วทุกหนทุกแห่ง และทุกกาลเวลาที่ฉันพอจะคิดได้" เจียงมองข้ามท้องทะเลออกไป " มันประหลาด นางนวลที่เยาะเย้ยความเป็นเลิศเพื่อที่จะได้ไปเที่ยว กลับไม่ได้ไปไหน แล้วก็เชื่องช้า ผู้ที่พักการเที่ยวไว้เพื่อแสงหางความเป็นเลิศ ไปไหนก็ได้ และก็รวดเร็วฉับพลัน จำไว้ โจนาธาน สวรรค์ไม่ใช่สถานที่หรือกาลเวลา เพราะสถานที่และกาลเวลาไร้ความหมายยิ่งนัก สวรรค์คือ..ง"
"เธอสอนฉันให้บินอย่างนั้นได้ไหม" นางนวลโจนาธานสั่นสะท้านที่จะพิชิตความไม่รู้อีกอันหนึ่ง
"แน่นอน ถ้าเธออยากจะเรียน"
"ฉันอยาก เราจะเริ่มกันได้เมื่อไร"
"เราเริ่มเดี๋ยวนี้ก็ได้ ถ้าเธอต้องการ"
"การที่จะบินให้เร็วเท่าความนึกคิด ไปที่ไหนก็ได้คือ" เจียงกล่าว "เธอจะต้องเริ่มด้วยความคิดที่ว่าเธอได้ไปถึงแล้ว…" ตามที่เจียงว่า เคล็ดลับก็คือโจนาธานต้องเลิกมองตนเองว่าถูกักอยู่ในร่างกายที่จำกัดเพียงสี่สิบสองนิ้วฟุตของความยาวของปีกหรือข้อจำกัดของการบินที่ตราไว้บนตาราง เคล็ดลับก็คือ จะต้องรู้ถึงธรรมชาติที่แท้จริงของตนเอง อยู่ได้ทุกๆ แห่งในฉับพลัน ข้ามพ้นสถานที่และกาลเวลา และเป็นเลิศเสมือนเลขที่ไม่มีตัวเขียน
วันแล้ววันเล่า โจนาธานเฝ้าฝึกฝนอย่างทรหดตั้งแต่ก่อนตะวันขึ้นจนเลยเที่ยงคืน และด้วยความมานะทั้งหมดโจนาธานมิได้ขยับเขยื้อนจากตำแหน่งที่ของมันแม้แต่ช่วงขนเดียว
"ลืมความศรัทธาซะ!" เจียงพูดแล้วพูดอีก "เธอไม่ต้องศรัทธาเพื่อจะบิน เธอต้องการความเข้าใจการบิน นี่ก็เหมือนเดิมอีก ลองใหม่อีกทีซิ.."
ต่อมาวันหนึ่ง โจนาธานยืนอยู่ที่ชายฝั่ง หลับตา สำรวม ทันใดนั้นมันก็รู้สิ่งถึงสิ่งที่เจียงได้บอกมันไว้
"ทำไม ใช่แล้ว ฉันเป็นเลิศ เป็นนางนวลที่ไม่มีขอบเขตจำกัด!" มันรู้สึกตระหนกด้วยความยินดียิ่งนัก
"ดีแล้ว!" เจียงดูมีชัยชนะในน้ำเสียงของมัน
โจนาธานลืมตาขึ้น มันมายืนโดดเดี่ยวอยู่กับนางนวลผู้ใหญ่บนชายฝั่งประหลาดอีกแห่ง ต้นไม้ระลงไปที่ริมขอบน้ำ ดวงตะวันสีเหลืองสองดวงหมุนเวียนอยู่เหนือหัว
"ในที่สุดเธอก็ได้ความคิด" เจียงว่า "แต่การบังคับของเธอต้องฝึกฝนหน่อย…"
โจนาธานงุนงง "เราอยู่ที่ไหนนี่"
นางนวลผู้ใหญ่ปัดคำถามนั้นไป โดยที่ไม่ตื่นเต้นกับสภาพแวดล้อมที่ประหลาดนั้น
"ก็เห็นได้ชัดนี่ เราอยู่บนดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีท้องฟ้าสีเขียว และมีดาวสองดวงแทนดวงตะวัน" โจนาธานส่งเสียงด้วยความดีใจ
เป็นครั้งแรกที่มันส่งเสียงร้องนับแต่จากโลกมา "ได้ผล"
"ใช่ แน่นอนมันได้ผล จอน" เจียงพูด "มันได้ผลเสมอเมื่อเธอรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทีนี้เรื่องการบังคับของเธอ…."
เมื่อถึงตอนที่นางนวลทั้งสองกลับก็มืดแล้ว นางนวลอื่นๆ มองโจนาธานด้วยดวงตาสีทองอย่างประหลาดใจ เพราะพวกนี้ได้เห็นโจนาธานหายไปจากที่ที่มันได้มาอยู่เป็นเวลานาน โจนาธานยืนรับการอวยพรนั้นเพียงไม่ถึงนาที
"ฉันเป็นผู้มาใหม่ที่นี่! ฉันเพิ่งจะเริ่มต้น! ฉันเป็นผู้ที่ต้องเรียนรู้จากเธอๆ !"
"ฉันไม่แน่ใจเรื่องนั้น จอน" ซัลลิแวนซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ พูดขึ้น "เธอมีความหวาดกลัวที่จะเรียนน้อยกว่านางนวลใดๆ ที่ฉันเคยเห็นมาในเวลาหมื่นปี" ฝูงนางนวลนิ่งเงียบ และโจนาธานก็อายอึกอักอยู่
"เราเริ่มฝึกเกี่ยวกับกาลเวลาได้แล้ว ถ้าเธอต้อง" เจียงกล่าวขึ้น "จนกระทั่งเธอสามารถบินอดีตและอนาคตได้ และเมื่อนั้นเธอจะได้พร้อมที่จะเริ่มสิ่งที่ยากที่สุด มีพลังที่สุด และสนุกที่สุด เธอจะพร้อมที่จะเริ่มบินขึ้น และรู้ถึงความหมายของความเมตตาและความรัก"
หนึ่งเดือน หรือไม่ก็สิ่งที่รู้สึกคล้ายๆ กับเวลาหนึ่งเดือนผ่านไป โจนาธานเรียนรู้เร็วจากประสบการณ์ธรรมดาๆ และถึงตอนนี้นักเรียนพิเศษของนางนวลผู้ใหญ่เอง ก็ได้ความคิดใหม่มาราวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนเพรียวลม แต่แล้ววันที่เจียงจะหายวับไปก็มาถึง เจียงกำลังคุยอย่างเงียบๆ อยู่กับบรรดานางนวลทั้งหมด กระตุ้นให้พวกนั้นไม่หยุดยั้งการเรียนรู้ ฝึกฝน พิชิต เพื่อที่จะได้เข้าใจหลักการแห่งชีวิตทั้งมวลที่เป็นเลิศและมองไม่เห็นยิ่งขึ้น และแล้วขณะที่มันพูดอยู่ ขนของเจียงก็สดใสขึ้นๆ จนในที่สุดบรรเจิดจ้ากระทั่งไม่มีนางนวลใดมองตัวเจียงได้
"โจนาธาน" เจียงพูด และก็เป็นคำสุดท้ายที่มันพูด
"จงฝึกความรักเอาไว้"
โจนาธานยืนอยู่บนหาดทราย และสงสัยว่าจะมีนางนวลสักตัวที่โน่นไหมที่กำลังต่อสู้เพื่อฟันฝ่าเขตวงจำกัดออกมา เพื่อที่จะพบความหมายของการบินนอกเหนือไปจากบินไปเอาเศษขนมปังจากเรือกรรเชียง บางทีอาจจะมีนกสักตัวที่ถกูขับเป็นตัวหัวเน่าไปแล้วก็ได้ ในฐานะที่พูดความจริงต่อหน้าฝูงนางนวล และยิ่งโจนาธานฝึกบทความเมตตามากขึ้นเท่าใด ฝึกเรียนรู้ธรรมชาติของความรักขึ้นเท่าใด มันก็อยากกลับไปยังโลกมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่ามันจะมีอดีตที่เปล่าเปลี่ยว โจนาธาน ก็เกิดมาเพื่อเป็นครูผู้สอน และหนทางที่มันจะเสนอความรักได้ก็คือให้ความจริงบางประการที่มันได้พบเห็น ให้ต่อนางนวลสักตัวที่ร้องขอแต่เพียงโอกาสที่จะค้นหาความจริงให้ตนเอง ซัลลิแวนซึ่งบัดนี้ช่ำชองในการบินความเร็วความคิดและกำลังช่วยนกอื่นๆ ให้เรียนรู้อยู่ ยังสงสัยนัก
""จอน ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นตัวหัวเน่า ทำไมเธอถึงคิดว่านางนวลครั้งก่อนเก่าของเธอจะรับฟังเธอในตอนนี้ เธอรู้สุภาษิตที่เป็นจริงว่า : นางนวลที่บินสูงที่สุด ย่อมมองเห็นไกลที่สุด นางนวลที่เธอจากมาเหล่านั้นได้แต่ยืนบนพื้นทราย ร้องเอะอะแย่งชิงในหมู่กันเองพวกนั้นอยู่ห่างไกลสวรรค์ตั้งพันไมล์แล้ว เธอว่าเธออยากจะแสดงให้เขาเห็นถึงสวรรค์จากที่ที่เขายืนอยู่! จอน พวกนั้นมองแม้แต่ปลายปีกของตนก็ไม่เห็น! อยู่ที่นี่เถิด ช่วยนางนวลใหม่ๆ ที่นี่ นางนวลที่สูงส่งพอที่จะเห็นสิ่งที่เธอบอกให้เขาฟัง"
ซัลลิแวนเงียบไปชั่วครู่ แล้วพูดขึ้นอีกว่า "ถ้าหากว่าเจียงกลับไปโลกของเขาเสียก่อน? เธอจะเป็นอย่างไรในวันนี้?"
จุดสุดท้ายนั้นแจ่มแจ้งนัก และซัลลิแวนพูดถูก นางนวลที่บินสูงที่สุด ย่อมมองเห็นไกลที่สุด โจนาธานอยู่ต่อไปและช่วยฝึกนกใหม่ๆ ที่เข้ามา พวกนั้นทั้งหมดฉลาดและรวดเร็วในบทเรียนอย่างยิ่ง แต่ความรู้สึกเก่าก็กลับมาอีก โจนาธานช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่าอาจจะมีนางนวลสักตัวหรือสองตัวบนพื้นโลก ที่สามารถเรียนรู้ได้ โจนาธานคงจะได้เรียนรู้มากมายแล้วในบัดนี้ถ้าหากเจียงได้ไปหามันวันที่มันถูกขับเป็นตัวหัวเน่า!
"ซัลลี่ ฉันต้องกลับไป" โจนาธานพูดขึ้นในที่สุด "นักเรียนของเธอกำลังทำได้ดี เขาจะช่วยเธอฝึกนกตัวใหม่ๆ ได้ต่อไป" ซัลลิแวนถอนหายใจแต่มิได้โต้แย้ง
"ฉันคิดว่าคงจะคิดถึงเธอ โจนาธาน" มันพูดแค่นั้น
"ซัลลี่ น่าอาย!" โจนาธานพูดขึ้นอย่างตำหนิ "แล้วก็อย่าเหลวไหล! เรากำลังพยายามฝึกทำอะไรอยู่ทุกวันๆ? ถ้าหากมิตรภาพของเราขึ้นอยู่กับสิ่งที่เป็นสถานที่และกาลเวลา และเมื่อเราพิชิตสถานที่และกาลเวลาได้ในที่สุด เราก็ทำลายภราดรภาพของเราเอง! แต่เมื่อเราพิชิตสถานที่เราก็จะเหลือแต่ ที่นี่ เมื่อเราพิชิตกาลเวลา เราก็เหลือแต่ปัจจุบันและในระหว่างกลางของ ที่นี่ และ ปัจจุบัน เธอไม่คิดหรือว่าเราอาจจะได้พบกันอีกสักครั้งหรือสองครั้ง?"
นางนวลซัลลิแวนหัวเราะขึ้นทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควร
""เธอนกบ้า" มันพูดขึ้นอย่างใจดี "ถ้าจะมีใครสักตัวที่จะทำให้ผู้อยู่บนพื้นโลกเห็นได้ไกลออกไปสักพันไมล์ ก็คงจะเป็นนางนวล : โจนาธาน ลิฟวิงสตัน นั่นเอง" ซัลลิแวนมองดูพื้นทราย "ลาก่อน จอนเพื่อนฉัน"
"ลาก่อน ซัลลี่ เราจะพบกันอีก"
และดังนั้น โจนาธานก็วาดมโนภาพนางนวลกลุ่มใหญ่บนชายหาดของอีกกาลเวลาหนึ่ง และมันรู้ได้โดยง่ายดังที่ฝึกฝนไว้ว่าตัวมันนั้นไม่ใช่กระดูกและขน แต่เป็นความนึกคิดอันสมบูรณ์ด้วยอิสรภาพและการบิน ไม่มีอะไรเป็นข้อจำกัดแต่อย่างใด
นางนวลเฟลทเชอร์ ลินด ์ ยังเป็นหนุ่มน้อย แต่มันก็รู้ว่าไม่มีนกใดๆ เคยถูกปฏิบัติตอบอย่างรุนแรงโดยฝูงนกหรืออย่างไร้ความยุติธรรมยิ่งเท่ามัน
""ฉันไม่แคร์ว่าพวกนั้นจะพูดว่าอะไร" มันคิดอย่างหนักหน่วงและสายตามันก็พร่าเมื่อบินออกไปสู่ หน้าผาโพ้น
"การบินมีอะไรๆ มากมายกว่าเพียงการกระพือปีก จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง! ย…ย…ยุง ก็ทำอย่างนั้นได้ ฉันเพียงแต่บินหมุนสว่านเล่นรอบๆ นางนวลผู้ใหญ่นิดเดียว เพื่อความสนุกเท่านั้น ฉันก็กลายเป็นตัวหัวเน่า พวกนั้นตาบอดกระมัง พวกนั้นมองไม่เห็นหรือ พวกนั้นคิดถึงความรุ่งโรจน์ที่จะมีมาเมื่อเราเรียนรู้การบินอย่างจริงจังไม่ได้หรือ
"ฉันไม่แคร์ว่าพวกนั้นจะคิดอย่างไร ฉันจะแสดงให้เขาเห็นว่าการบินเป็นอย่างไร ฉันจะแสดงให้เขาเห็นว่าการบินเป็นอย่างไร! ฉันจะเป็นตัวนอกกฎนอกเกณฑ์จริงๆ ถ้าเขาต้องการแบบนั้น และฉันจะทำให้เขาเสียใจนักเชียว…"

เสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัวของเฟลทเชอร์ ลินด์ แม้ว่าเสียงนั้นจะอ่อนโยน แต่ก็ทำให้มันตกใจมากจนชะงักและสะดุดอยู่กลางอากาศ
"อย่างรุนแรงกับพวกเขานัก นางนวลเฟลทเชอร์ การขับไสเธออกมานั้นนางนวลอื่นๆ ได้ทำร้ายตนเอง และสักวันหนึ่งพวกนั้นจะรู้ และสักวันหนึ่งพวกนั้นจะเห็นสิ่งที่เธอเห็นอภัยให้เข้า และจงช่วยให้เขาเข้าใจ"
นางนวลที่ขาวสดใสที่สุดในโลกกำลังบินอยู่ห่างจากปลายปีกขวาของเฟลทเชอร์เพียงหนึ่งนิ้ว ร่อนเรียงมาโดยปราศจากความพยายามใดๆ ไม่ขยับขนแม้แต่เส้นเดียว และก็บินเกือบเท่าความเร็วสูงสุดของเฟลทเชอร์ มันเป็นชั่วขณะของความปั่นป่วนต่อเจ้านกหนุ่ม
"เกิดอะไรขึ้น ฉันบ้าไปหรือ ฉันตายไปแล้วหรืออะไรนี่"

เสียงนั้นดังเข้ามาอีกในความคิดของเฟลทเชอร์ ทุ้มและนุ่มนวล และถามหาคำตอบขึ้น
""เฟลทเชอร์ ลินด์นางนวลเธออยากบินไหม"
"ใช่ ฉันอยากบิน!"
"เฟลทเชอร์ ลินด์ นางนวล" เธออยากบินมากกระทั่งเธอจะอภัยให้ฝูงนก เรียนรู้ และกลับไปหาพวกเขาสักวันหนึ่ง และช่วยให้เขารู้ใช่ไหม"
ไม่ว่านางนวลเฟลทเชอร์จะทะนงหรือปวดร้าวสักเท่าใด มันก็ไม่มีความโป้ปดมดเท็จต่อเจ้านกที่ชำนิชำนาญวิเศษนั้น

"ใช่" มันตอบอย่างอ่อนโยน
"เอาล่ะ เฟลทเชอร์" เจ้าสัตว์สุกใสพูดกับมัน น้ำเสียงกรุณายิ่งนัก
"เรามาเริ่มต้นด้วยการบินระดับตรง…"
"ฉันอยากเรียนที่จะบินแบบนั้น" โจนาธานพูด และแสงประหลาดวูบวาบขึ้นในดวงตาของมัน "บอกฉันซิว่าจะทำอย่างไร" เจียงพูดขึ้นอย่างช้าๆ และเฝ้าดูเจ้านางนวลหนุ่มอย่างใกล้ชิดยิ่ง